07 มิถุนายน 2549

แก้กฎหมายโทรคมนาคม: ประโยชน์ที่ได้ในการขายหุ้นชิน

กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศไทย มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549 สองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท
หลังจากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขรมว่า การแก้กฎหมายนี้ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จนผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวง............ นาย............ ต้องออกมาแถลงข่าวว่า การแก้ กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติครั้งนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์
การแก้กฎหมายโทรคมนาคมครั้งนี้มีผลอย่างไร เราลองมาดูกัน...
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า บริษัทโทรคมนาคมของประเทศไทยนั้นสงวนไว้สำหรับคนไทย ทั้งนี้เนื่องจากการสื่อสารเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของชาติและเป็นหัวใจในการบริหารประเทศ (นอกจากนั้น สื่อยังมีความสามารถในการบิดเบือนข่าวและมอมเมาประชาชน)
ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้บริษัทโทรคมนาคมไทยต้องมีสัญชาติไทย
ในอดีต บริษัทโทรคมนาคมจะมีสัญชาติเป็นไทยได้ ถ้าบริษัทนั้นถือหุ้นโดยชาวต่างชาติไม่เกินร้อยละ 25 แต่หลังจากที่ได้มีการแก้ไขกฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นให้แก่ชาวต่างชาติ บริษัทโทรคมนาคมจะถือว่ามีสัญชาติเป็นไทยตราบที่ชาวต่างชาติถือหุ้นของบริษัทไว้ไม่เกินร้อยละ 49
การแก้ “กฎหมายขยายเพดาน” จากร้อยละ 25 ไปเป็นร้อยละ 49นี้ ฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ แม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้น 51 ต่อ 49 จะดูหมิ่นเหม่ไปหน่อย แต่ถ้าดูจากตัวเลขกันจริงๆ บริษัทโทรคมนาคมก็ยังอยู่ในมือของคนไทย เพราะการถือหุ้นด้วยสัดส่วนร้อยละ 51 ถือเป็นเสียงข้างมากที่ทำให้ผู้ถือหุ้นไทยยังคงสามารถควบคุมนโยบายในการบริหารบริษัทได้
นั่นเป็นคำอธิบายที่ให้ข้อเท็จจริงไม่ถึง 49%!
เพราะสัดส่วนการถือหุ้นที่หมิ่นเหม่ขนาดนี้มีโอกาสที่จะทำให้บริษัทโทรคมนาคมไทยตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนต่างชาติ นอกจากว่าผู้ถือหุ้นไทยจะพร้อมใจกันเทคะแนนให้คนไทยด้วยกันเอง (แพ้ชนะกันที่ 1%) แต่ถ้าผู้ถือหุ้นไทยกลับใจไปเทคะแนนให้ผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติ การบริหารบริษัทโทรคมนาคมไทยอาจจำเป็นต้องเดินตามการบงการของประเทศสิงคโปร์
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในอดีต กฎหมายจึงเขียน “กัน” ไม่ให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 25% เพราะการ “ซื้อ” ใจผู้ถือหุ้นไทย 24% นั้น ย่อมทำได้ยากกว่าการ “ซื้อ” ใจผู้ถือหุ้นไทยเพียง 1%
ดังนั้น การแก้กฎหมายโทรคมนาคมให้หลวมขึ้นจึงฟังไม่เข้าทีมาตั้งแต่ต้น (ความจริง กฎหมายควรจะลดเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติลง มากกว่าที่จะขยายเพดานให้สูงขึ้น เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทโทรคมนาคมกลายเป็นบริษัทเอกชนที่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จนทำให้ มีผู้ถือหุ้นหลากหลาย ดังนั้น บริษัทจดทะเบียนอาจถูกครอบงำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงข้างมากถึง 51% บางครั้ง การถือหุ้นเพียง 25-30% ก็อาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ออกเสียงชนะจนสามารถกำหนดนโยบายของบริษัทได้)
การขยายเพดานการถือหุ้นจึงถือเป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงให้แก่ชาวต่างชาติเงินหนาที่จ้องจะมาครอบงำบริษัทจดทะเบียนไทย (ไม่เพียงแต่บริษัทโทรคมนาคมเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลอุตส่าห์สงวนที่ทำกินบนแผ่นดินไทยไว้สำหรับคนไทย หรือบริษัทสาธารณูปโภคที่เป็นหัวใจในการบริหารประเทศก็สามารถตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวต่างชาติได้)
ในเมื่อ การครอบงำบริษัทจดทะเบียนสามารถทำได้ด้วยการถือหุ้นเพียง 25-30% แล้วทำไมคนจึงกล่าวหาว่า การออกกฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นเอื้อประโยชน์ต่อการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป?
นั่นเป็นเพราะบริษัทชินคอร์ปมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง ดังนั้น การเข้าถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปด้วยสัดส่วนเพียงร้อยละ 25-30 จะไม่สามารถทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าครอบงำบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือได้
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ในมือมากเกินไป มากจนกระทั่งนักลงทุนต่างชาติจะไม่สามารถกลืนบริษัทชินคอร์ปได้ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25 ดังนั้น ถ้ากฎหมายยังไม่ขยายเพดานการถือหุ้นให้ชาวต่างชาติ โอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะสนใจซื้อหุ้นชินคอร์ปแบบยกล็อตก็คงเป็นไปไม่ได้ (ไม่มีชาวต่างชาติคนไหนจะกล้าเสี่ยงซื้อบริษัทที่ตัวเองสามารถครองหุ้นได้เพียง 25% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นไทยยังคงครองหุ้นส่วนใหญ่และสามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ถึงร้อยละ 75)
ดังนั้น การจะขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้ชาวต่างชาติได้ กฎหมายจึงต้องอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในขณะเดียวกับที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นบริษัทไทย (นั่นคือ 49%)
คำถามที่ตามมาคือ... ทำไมผู้เกี่ยวข้องกับนายกจึงอยากขายหุ้นให้ชาวต่างชาติ? ทำไมจึงไม่ขายหุ้นให้กับคนไทย?
เหตุผลน่าจะมีอยู่ 2 ประการ
หนึ่ง ราคาหุ้นที่ขายให้คนไทยอาจไม่สูงเท่ากับราคาที่จะขายให้ชาวต่างชาติ
สอง คนไทยไม่มีเงินสดมากมายขนาดนั้นมาเทให้
ดังนั้น การแก้ไข “กฎหมายขยายเพดาน” จึงน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้การขายหุ้นชินคอร์ปเป็นไปได้อย่างที่เป็นไปและได้ราคาอย่างที่อยากได้
แต่นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลได้ออกมายืนยันว่า การแก้ “กฎหมายขยายเพดาน” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 แต่การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นในปี 2549 ดังนั้น “กฎหมายขยายเพดาน” นี้จึงไม่เกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์ต่อการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป
คำแก้ต่างนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากตามรูปการ แผนการขายหุ้นชินคอร์ปน่าจะได้วางกันมาตั้งแต่ปี 2544 หรือก่อนหน้านั้น (นายกทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ก่อนหน้านั้น ท่านได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและหัวหน้าพรรคพลังธรรม)
รูปการทำให้เชื่อได้ว่า ตลอดเวลาที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านไม่เคยปล่อยวางจากการทำธุรกิจครอบครัว ทั้งนี้ดูได้จากพฤติกรรมการนำหุ้นไปซุกไว้กับคนในบ้าน การโอนหุ้นไปไว้ในเกาะฟอกเงิน การขายหุ้นให้ลูกชายในราคาพาร์ การโอนหุ้นให้พี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงโดยไม่คิดมูลค่า การผ่องถ่ายหุ้นให้ลูกสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะ (เพื่อที่สัดส่วนการถือหุ้นของลูกชายจะได้ไม่เกินร้อยละ 25 ที่ต้องทำการเสนอซื้อและเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนำทรัพย์สินของลูกสาวมาแสดงรวมในบัญชีทรัพย์สินของตน) การตระเวนไปเจรจาการค้ากับสิงคโปร์ จีน พม่า และอีกหลายๆ ประเทศ (โดยมีลูกชายติดตามไปด้วย) รวมถึงการไปฉลองปีใหม่ที่ประเทศสิงคโปร์ก่อนที่การขายหุ้นชินคอร์ปจะเกิดขึ้น
แถมตลอดปี 2548 ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯได้ทยอยขายหุ้นชินคอร์ปออกมากวาดกำไรจนทำให้หุ้นชินคอร์ปที่เหลืออยู่ในมือของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์มีจำนวนเท่ากับ 49% พอดิบพอดี (ตามที่ “กฎหมายขยายเพดาน” อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทย)
ข้อสังเกตนี้มาจากการคำนวณคร่าวๆ ตามข้อมูลที่มีอยู่คือ การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นด้วยราคา 73,300 ล้านบาท หุ้นที่ขายมีราคาประมาณหุ้นละ 49.25บาท โอ๊คซื้อหุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช จำนวน 164.9 ล้านหุ้น ถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.49 ดังนั้น จำนวนหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดที่ขายให้บริษัทเทมาเส็กจึงควรมีสัดส่วนประมาณ 49% (73,300/49.25 x 5.49/164.9)
การขายหุ้นชินคอร์ปตลอดปี 2548 เพื่อให้หุ้นที่เหลืออยู่มีสัดส่วนเท่ากับหุ้นที่ต้องขายให้บริษัทเทมาเส็กแสดงให้ถึงแผนการที่วางไว้เป็นอย่างดี แผนการเช่นนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ และต้องปฏิบัติอย่างรัดกุม เป็นระบบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดภาษีส่วนต่างราคา การประหยัดภาษีหัก ณ ที่จ่าย การประหยัดเงินจากการที่ไม่ต้องทำคำเสนอซื้อ (ถือหุ้นด้วยสัดส่วนร้อยละ 24.99 แทนที่จะเป็น 25%) การแก้กฎหมายขยายเพดานให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทยด้วยสัดส่วนสูงสุด (49%) การขายหุ้นชินคอร์ปให้ บริษัทเทมาเส็กด้วยจำนวนที่สูงที่สุด (49%) ด้วยราคาที่สูงที่สุด (73,300 ล้านบาท) และการทยอยขายหุ้นในปี 2548 จนเหลือหุ้นในมือเท่ากับจำนวนที่สามารถขายให้บริษัทเทมาเส็ก (49%)
เห็นอย่างนี้...ได้แต่ทึ่งแกมเศร้า
ทำไมหนอ.. คนที่เก่งขนาดนี้จึงมีแต่ความโลภจนกลายเป็นคนตาบอดตาใสมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ทำไมหนอ... ประเทศไทยจึงไม่มีวาสนาที่จะเห็นคนเก่ง คนดี คนมีศีลธรรมจริยธรรม มาช่วยพัฒนาประเทศชาติอย่างจริงจังกันสักที
-----------------------------
โค้ด
"พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ในมือมากเกินไป มากจนกระทั่งนักลงทุนต่างชาติจะไม่สามารถกลืนบริษัทชินคอร์ปได้ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25"
ดร. ภาพร เอกอรรถพร จากกรุงเทพธุรกิจ Biz Week ถนนนักลงทุน วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก