Off-Balance Sheet Transactions and Their Effects on Financial Statements
บทความที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ โครงการประกวดบทความ วิชาการทางการบัญชี (ประเภทนักศึกษา) จัดโดยคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาการบัญชี คณะกรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมสถาบัน-อุดมศึกษาเอกชน
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
วิธีการที่ธุรกิจจะใช้ บริษัทย่อย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ในการล้างหนี้สินออกจากบัญชี และจัดหาทุนนอกงบดุล มีหลายวิธี ด้วยกัน เช่น
การใช้บริษัทย่อย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน เป็นช่อง ทางในการกู้ยืม และถ่ายโอนเงินกู้นั้นไปสู่บริษัทใน เครือ โดยอาศัยความได้เปรียบ ในกรณีที่ผู้ใช้งบการ เงินส่วนใหญ่จะมุ่งความสนใจไปที่งบการเงินของ บริษัทใหญ่มากกว่างบการเงินรวม
การใช้บริษัทย่อย หรือ บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ที่มีอัตรา ส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำ เป็นช่องทางในการ กู้ยืมเงินให้กับบริษัทใหญ่ ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อ ส่วนของผู้ถือหุ้นสูง และหลบเลี่ยงการนำบริษัทนั้น ๆ มาจัดทำงบการเงินรวม เนื่องจากจะทำให้อัตราส่วน หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงินรวมแสดง ออกมาสูง
การจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ เป็นรูปแบบหนึ่งในการ สร้างรายการให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยกิจการ นั้นมุ่งที่จะถ่ายโอนความเสียหายและหนี้สินจำนวนมาก ออกไปจากบริษัท ซึ่งจะสร้างรายการด้วยการจัดตั้ง นิติบุคคลเฉพาะกิจแยกออกไป เพื่อทำธุรกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะ และหลีกเลี่ยงการนำนิติบุคคลเฉพาะกิจ นั้นมาจัดทำงบการเงินรวม
(4.2) การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์* (Securitization)
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
วิธีการที่ธุรกิจจะใช้ บริษัทย่อย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ในการล้างหนี้สินออกจากบัญชี และจัดหาทุนนอกงบดุล มีหลายวิธี ด้วยกัน เช่น
การใช้บริษัทย่อย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน เป็นช่อง ทางในการกู้ยืม และถ่ายโอนเงินกู้นั้นไปสู่บริษัทใน เครือ โดยอาศัยความได้เปรียบ ในกรณีที่ผู้ใช้งบการ เงินส่วนใหญ่จะมุ่งความสนใจไปที่งบการเงินของ บริษัทใหญ่มากกว่างบการเงินรวม
การใช้บริษัทย่อย หรือ บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ที่มีอัตรา ส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำ เป็นช่องทางในการ กู้ยืมเงินให้กับบริษัทใหญ่ ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อ ส่วนของผู้ถือหุ้นสูง และหลบเลี่ยงการนำบริษัทนั้น ๆ มาจัดทำงบการเงินรวม เนื่องจากจะทำให้อัตราส่วน หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบการเงินรวมแสดง ออกมาสูง
การจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ เป็นรูปแบบหนึ่งในการ สร้างรายการให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยกิจการ นั้นมุ่งที่จะถ่ายโอนความเสียหายและหนี้สินจำนวนมาก ออกไปจากบริษัท ซึ่งจะสร้างรายการด้วยการจัดตั้ง นิติบุคคลเฉพาะกิจแยกออกไป เพื่อทำธุรกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะ และหลีกเลี่ยงการนำนิติบุคคลเฉพาะกิจ นั้นมาจัดทำงบการเงินรวม
(4.2) การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์* (Securitization)
* การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ หมายถึง กระบวนการแปลง ลูกหนี้หรือสิทธิประโยชน์เหนือการกู้ยืม ให้เป็นตราสารเพื่อการระดมทุน โดยตรง โดยอยู่ในรูปของหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงหรืออยู่ในรูปแบบที่ สามารถเปลี่ยนมือได้ง่ายแล้วจึงขายแก่ ผู้ลงทุนโดยมีอัตราผลตอบแทนที่ กำหนด สินทรัพย์แทบทุกประเภทสามารถแปลงให้เป็นหลักทรัพย์ได้ เช่น ลูกหนี้ทางการค้า และเงินให้กู้ยืมประเภทหมุนเวียน เป็นต้น (วรพล โสตติยานุกรักษ์. “Securitiztion ก้าวใหม่ของผู้ให้กู้และผู้ลงทุน”. การเงิน การธนาคาร. (เมษายน 2536) : 175-178.)
วิธีปฏิบัติในการบันทึกบัญชีสำหรับการแปลงสินทรัพย์ ให้เป็นหลักทรัพย์ จะมีผู้เกี่ยวข้องด้วยกัน 2 ฝ่าย คือ ผู้โอนสินทรัพย์ (เช่น สถาบันการเงิน หรือ กิจการผู้ขายลูกหนี้) และผู้รับโอน สินทรัพย์ ซึ่งก็คือ นิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Entity: SPE หรือ Special Purpose Vehicle : SPV หรือ Special Purpose Partnership: SPP) วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ ในกรณีนี้ ก็เพื่อมารับโอนหนี้จากเจ้าหนี้เดิมเป็นหลัก และเพื่อให้ เจ้าหนี้เดิม สามารถตัดยอดลูกหนี้เงินกู้ ลูกหนี้เช่าซื้อ และลูกหนี้อื่น ออกจากงบดุลของกิจการได้ และยังถือได้ว่าเป็นการแยกความ เสียหายที่ เกิดขึ้นจากปัญหาภายในของบริษัท ออกจากบัญชีลูกหนี้ เงินกู้ที่นำมาแปลงสภาพ ซึ่งเรียกว่าเป็นการ Bankruptcy Remote หลังจากที่ นิติบุคคลเฉพาะกิจรับโอนหนี้เหล่านั้นมาแล้ว ก็จะออก หลักทรัพย์ ขายให้กับนักลงทุนโดยทำสัญญาที่มีรายละเอียดคล้าย กับสัญญาที่ทำกับเจ้าหนี้เดิม ฉะนั้น นิติบุคคลเฉพาะกิจ ที่จัดตั้ง ขึ้นในกรณีนี้ จึงทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่าง เจ้าหนี้เดิมกับนักลงทุน
อย่างไรก็ตามการที่กิจการจะจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชี ซึ่งมีผลทำให้รายการลูกหนี้ไม่ปรากฏอยู่ในงบดุล (Off-Balance Sheet) สามารถทำได้ เฉพาะกรณีที่เป็นการขายลูกหนี้ จากผู้โอน สินทรัพย์ไปยังผู้รับโอน ในทางกลับกันหากเป็นการนำลูกหนี้ไปเป็น สินทรัพย์เพื่อค้ำประกันการกู้ยืมเงิน ก็จะยังไม่มีการจำหน่ายบัญชี ลูกหนี้ออกจากบัญชี ดังนั้นรายการลูกหนี้ก็ยังปรากฏอยู่ในงบดุล หากแต่ต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ในหมายเหตุประกอบ งบการเงิน
ใน Statement of Financial Accounting Standard No.125 : Accounting for Transfers and Servicing of Financial Assets and Extinguishment of Liabilities ได้กำหนดเงื่อนไขในการ จำหน่ายสินทรัพย์ออกจากบัญชี ซึ่งถือว่าเป็น “การขาย” โดยทั่วไป โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ ดังนี้
ผู้โอนไม่มีสิทธิในการควบคุมต่อสินทรัพย์ที่นำไป แปลงเป็นหลักทรัพย์ โดยที่ผู้โอนจะหมดซึ่งสิทธิใน การเข้าไปเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์
ผู้รับโอนต้องมีสิทธิที่จะนำสินทรัพย์นั้นไปค้ำประกัน แลกเปลี่ยนได้โดยปราศจากเงื่อนไข ที่จะทำให้ผู้รับ โอนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
ผู้โอนไม่มีสิทธิที่จะซื้อสินทรัพย์ หรือ ลูกหนี้ที่ได้โอน ไปแล้ว กลับคืนมาหรือไม่มีการตกลงทำสัญญาผูกมัด กับผู้รับโอน ไม่ว่าจะเป็นการไถ่ถอนสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น
ถ้าหากการโอนสินทรัพย์นั้นไม่เข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อ ดังกล่าว การบันทึกบัญชีก็ไม่สามารถที่จะจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชีได้
วิธีการที่กิจการมักจะสร้างรายการเพื่อหลบซ่อนหนี้สิน ภายใต้เงื่อนไขนี้ ก็คือการทำให้รายการโอนสินทรัพย์ของกิจการเข้า เงื่อนไขของการขาย แล้วจึงโอนให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจ ซึ่งโดย ส่วนใหญ่มักจะถูกจัดตั้งขึ้นโดยกิจการเองเป็นผลให้เกิดความสัมพันธ์ กันในฐานะบริษัทใหญ่และบริษัทย่อย เป็นที่แน่นอนว่าบริษัทใหญ่ ย่อมหาทางหลีกเลี่ยงการนำงบการเงินของบริษัทย่อยที่เป็น นิติบุคคลเฉพาะกิจนี้มาร่วมจัดทำงบการเงินรวม โดยพยายามจัดโครง สร้างของบริษัทย่อยเหล่านั้นไม่ให้เข้าข่ายตามข้อกำหนดของ บริษัท ย่อย ตามที่มาตรฐานการบัญชีกำหนดไว้
ผลก็คือ นอกจากบริษัทใหญ่จะตัดสินทรัพย์ที่มีปัญหา (เช่น ลูกหนี้การค้า) ออกจากงบดุลและบันทึกสินทรัพย์ดี (เช่น เงินสด) รวมไปถึงผลกำไรจากการโอนในรายการนั้นเข้ามาแทนแล้ว บริษัทใหญ่ยังสามารถซ่อนหนี้สินของตัวเองไปไว้ในงบดุลของ นิติบุคคลเฉพาะกิจที่ไม่เข้าข่ายของการทำงบการเงินรวมได้อีก ทั้งนี้เป็นเพราะนิติบุคคลเฉพาะกิจที่รับสินทรัพย์ที่มีปัญหามาใน ราคาสูง เมื่อนำสินทรัพย์เหล่านั้นไปขายต่อก็ย่อมเกิดผลขาดทุน หรือถ้าไม่ขายต่อก็ต้องทำการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่า ส่วนหนี้สินที่นิติบุคคลเฉพาะกิจกู้ยืมมาเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหา ของบริษัทใหญ่ก็จะปรากฏอยู่แต่ในงบดุลของนิติบุคคลเฉพาะกิจเอง สรุปแล้วก็คือบริษัทใหญ่สามารถได้บันทึกทั้งสินทรัพย์ดีเข้ามาแทน สินทรัพย์ที่มีปัญหา และผลกำไรจากการโอนฯ ลงในงบการเงินของ ตน โดยไม่ต้องบันทึกหนี้สินที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย (เช่น เงินกู้ยืมจาก บุคคลภายนอกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจที่ไม่เข้าข่ายของบริษัทย่อย) เพราะจะไปปรากฏอยู่แต่ในงบดุลของนิติบุคคลเฉพาะกิจเป็นผลให้ หนี้สิน ที่จริง ๆ แล้วบริษัทใหญ่เป็นผู้ก่อขึ้นเอง ไม่ปรากฏทั้งในงบ การเงินของบริษัทใหญ่และงบการเงินรวม
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการบัญชีก็พยายามหาทางลดช่อง โหว่นี้ โดยการกำหนดให้กิจการต้องเปิดเผย “รายการระหว่างบุคคล และกิจการที่เกี่ยวข้องกัน”*
* บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน (Related Party) หมายถึง บุคคล หรือ กิจการที่สามารถควบคุม (Control) บุคคล หรือ กิจการอื่น หรือ สามารถใช้ อิทธิพลอย่างเป็นสาระสำคัญ (Significant Influence) ในการตัดสินใจด้านการ เงิน หรือ การดำเนินงานของบุคคล หรือ กิจการอื่น (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 47 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือ กิจการที่เกี่ยวข้องกัน)
สำหรับบริษัทต่าง ๆ ของกลุ่มกิจการที่ ไม่เข้าข่ายเป็นบริษัทย่อย แต่จะถือว่าเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน และ มีรายการค้าระหว่างกันซึ่งกิจการจะต้องเปิดเผยรายละเอียดดังกล่าว ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
(4.3) การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ** (In-Substance Defeasance of Debt)
(4.3) การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ** (In-Substance Defeasance of Debt)
** การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ (In-Substance Defeasance of Debt) หมายถึง การถอดถอนภาระหนี้สินออกจากงบการเงินโดยการตัดบัญชี หุ้นกู้ และเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลออกจากบัญชี และสร้างกำไรจากผลต่าง ระหว่างราคาตามบัญชีของ หุ้นกู้ กับราคาพันธบัตรรัฐบาลที่กิจการจ่ายและซื้อ ไปในเวลาเดียวกัน (วรศักดิ์ ทุมมานนท์ 2543 : 22, 31)
การใช้วิธี “การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ” (In-Substance Defeasance of Debt) ได้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดย บริษัท EXXON ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1982 เพื่อทำการระงับภาระหนี้สินของกิจการโดยการโอน พันธบัตรรัฐบาลซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ให้ไปอยู่ในความ ดูแลของนิติบุคคลเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นในรูปแบบของ Trust เป็นผล ให้บริษัท EXXON สามารถล้างบัญชีสินทรัพย์ และ หนี้สินออกจาก บัญชี รวมทั้งทำให้มีเงินทุนที่เพียงพอต่อการชำระคืนเงินต้นและ ดอกเบี้ยให้กับผู้เป็น เจ้าหนี้เมื่อครบกำหนดชำระ นอกจากนี้รายการ ดังกล่าวยังช่วยให้ผลกำไรของบริษัท EXXON สูงขึ้นอีกด้วย
สำหรับการทำรายการ “การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระ สำคัญ” นั้นในทางกฎหมายถือว่าผู้เป็นลูกหนี้ยังไม่หลุดพ้นจาก พันธะในการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ จนกว่าจะชำระหนี้ได้หมด เพราะ การทำรายการดังกล่าว เพื่อเป็นการสิ้นสุดพันธะในการชำระหนี้ของ ลูกหนี้นั้น เป็นผลมาจากการโอนสิทธิในผลประโยชน์ และเงินต้น ให้แก่ Trust เพื่อเป็นตัวกลางในการทำหน้าที่ชำระคืนแก่ผู้เป็น เจ้าหนี้นั้น เป็นเพียงการสมมติขึ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่ Trustee เกิดขาดความน่าเชื่อถือขึ้น และ/หรือกิจการผู้เป็นลูกหนี้ได้หยุด การดำเนินงานลง กฎหมายจะไม่รับรู้และไม่คุ้มครองการทำรายการ “การกำจัดรายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ” ที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลให้ กิจการผู้เป็นลูกหนี้จะต้องทำการบันทึกหนี้สินกลับมาตามเดิม จากมุมมองทางกฎหมายที่ถือว่าสินทรัพย์ที่โอนไปอยู่ในความดูแล ของ Trustee ยังเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ แก่กิจการผู้เป็นลูกหนี้ต่อไปในอนาคต จนกว่าจะมีการชำระหนี้ สินเสร็จสิ้น เป็นผลให้กำไรที่เกิดขึ้นจากการทำรายการ “การกำจัด รายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ” เป็นกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกว่า กิจการจะชำระหนี้สินเสร็จสิ้น
ใน Statement of Financial Accounting Standard No. 76 : Extinguishment of Debt ได้ให้แนวทางปฏิบัติสำหรับการ ล้างบัญชีหนี้สินออกจากบัญชีของกิจการโดยมีเงื่อนไข 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
ผู้เป็นลูกหนี้จะต้อง โอน เงินสด หรือ หลักทรัพย์ที่ปลอด ความเสี่ยงให้อยู่ในความดูแลของ Trust โดยผู้เป็น ลูกหนี้ไม่มีส่วนในการควบคุมสินทรัพย์นั้นอีกต่อไป โดยสินทรัพย์ที่ถูกโอนไปนั้น จะนำไปใช้เพื่อการจ่าย ดอกเบี้ยและเงินต้นเท่านั้น
โอกาสที่ลูกหนี้จะยังคงต้องชำระดอกเบี้ย หรือ เงินต้น อันเกี่ยวข้องกับหนี้สินจำนวนนั้นในอนาคตมีอยู่น้อยมาก
ถ้าหากรายการที่เกิดขึ้นไม่เข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ ดังกล่าว การบันทึก บัญชีเพื่อล้างบัญชีหนี้สินออกจากบัญชี รวมไปถึง การรับรู้กำไรที่ เกิดขึ้นจากรายการเป็นรายได้ของงวดบัญชีนั้น ก็ไม่สามารถที่จะ กระทำได้
วิธีการที่กิจการผู้เป็นลูกหนี้มักจะอ้างเพื่อสร้างรายการ หลบซ่อนหนี้สินภายใต้เงื่อนไขนี้ ก็คือการอ้างว่าตนได้มีการสละ ในการใช้ประโยชน์อันพึงจะเกิดจากสินทรัพย์ ที่ได้โอนไปอยู่ในความ ดูแลของ Trustee แล้ว รวมไปถึง โอกาสที่กิจการจะต้องชำระ ดอกเบี้ยหรือเงินต้นในอนาคตให้กับผู้เป็นเจ้าหนี้มีอยู่น้อยมาก จึงทำ ให้รายการดังกล่าวมีผลไม่ต่างไปจากการชำระหนี้ด้วยเงินสด
ผลจากการที่กิจการอ้างว่ารายการดังกล่าวได้เข้าเงื่อนไข ครบตามที่กำหนดไว้ ทำให้กิจการผู้เป็นลูกหนี้ถือว่าหนี้สินของตน เป็นอันระงับไป และทำการรับรู้กำไรที่เกิดขึ้นจากรายการเป็น รายได้ในงวดนั้นทันที ส่งผลให้งบการเงินนั้นแสดงหนี้สินต่ำกว่า ความเป็นจริง แต่ แสดงยอดรายได้สูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากิจการจะต้องเปิดเผยรายละเอียดจากรายการ “การกำจัด รายการหนี้ที่ไม่มีสาระสำคัญ” ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน แต่ทว่ารายการเหล่านี้บริษัทมักจะปิดบังผู้ใช้งบการเงินทั้งหลาย โดยไม่มีการบ่งชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดอันเป็นสาระสำคัญให้ชัดเจน และครบถ้วน
(4.4) การใช้หนี้สินเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์หรือส่วนของ ผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Swap)
หุ้นกู้แปลงสภาพมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหนี้สินเปลี่ยน เป็นหลักทรัพย์ หรือส่วนของผู้ถือหุ้น กล่าวคือ หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond/Convertible Debenture) มักจะหมายถึง หุ้นกู้ หรือ พันธบัตร ซึ่งสามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ ภายในเวลา และตามราคาที่กำหนดไว้ ตามที่ผู้ถือหลักทรัพย์นั้น ๆ ต้องการ โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ หรือ พันธบัตรจะไม่ได้รับเงินทุนเพิ่มเพราะ ในงบดุลจะปรากฏเป็นหุ้นสามัญขึ้นมาแทน เมื่อหุ้นกู้หรือพันธบัตร ถูกนำมาแปลงสภาพ และหนี้สินเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์หรือส่วน ของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Swap) ซึ่งส่งผลให้หุ้นกู้ หรือ พันธบัตร ในงบดุลลดลงแต่จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้น จะทำให้สถานะทาง การเงินของกิจการดูเข้มแข็งมากขึ้น และเป็นผลให้กิจการสามารถ ระดมทุนจากการก่อหนี้ได้มากขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการเรียกไถ่ถอนหุ้นกู้ ซึ่งจะช่วยลดหนี้สินที่แสดงในงบการเงิน และลดค่าดอกเบี้ยจ่ายเป็นผลให้กำไรสุทธิของกิจการเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้หุ้นของบริษัท จ่ายเป็นผลตอบแทนแก่ฝ่ายบริหาร หรือพนักงาน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการแทน การให้ค่าตอบแทนประเภทอื่น ๆ เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทย หลายบริษัทด้วยกัน อย่างไรก็ตามลักษณะของรายการประเภทนี้ อาจ มีบางบริษัทจงใจที่จะปิดบังผู้ใช้งบการเงินโดยไม่มีการแสดง รายละเอียดให้เห็นถึงหนี้สิน ที่เปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์หรือส่วนของ ผู้ถือหุ้น อย่างชัดเจนในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
ข้อเสนอแนะต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ในการดำเนินธุรกิจภายใต้สังคมระบบทุนนิยมยุคโลกา-ภิวัฒน์นั้น กระแสแห่งการแข่งขันภายใต้ความกดดันจากปัจจัย ต่าง ๆ ในการแสวงหาความได้เปรียบทางธุรกิจไม่เพียงเพื่อความ อยู่รอดของกิจการ แต่รวมไปถึงสถานภาพที่อยู่เหนือกว่าคู่แข่ง และ เหตุผลอื่น ๆ อีกหลายประการ เป็นแรงผลักดันให้กิจการต่าง ๆ ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนเป็นเหตุให้ บางครั้งวิธีการที่ถูกนำมาใช้นั้นเกินขอบเขต ไม่อยู่ในกรอบกติกา ดังเช่น การใช้กลลวงทางการเงินด้วยการตกแต่งบัญชี เพื่อปิดบัง ซ่อนเร้นสถานะทางการเงินที่แท้จริงของกิจการ จากผู้ใช้งบการเงิน ภายนอก สำหรับผู้ที่ใช้งบการเงินอยู่เป็นประจำ เช่น นักวิเคราะห์ และนักลงทุน ย่อมเข้าใจดีว่าการตีความหาข้อเท็จจริงจากงบการเงิน นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเสียทีเดียว ซึ่งบ่อยครั้งที่ต้องใช้ความอุตสาหะ เป็นอย่างมากในการวิเคราะห์ เนื่องจาก ฝ่ายบริหารได้สร้างปัญหา ไว้ในงบการเงินด้วยการใช้วิธีทางบัญชีต่าง ๆ เพื่อสร้างกลลวง หลอกล่อให้เข้ามาติดกับ โดยเฉพาะงบการเงินที่ไม่สมบูรณ์ หรืองบการเงินที่ไม่ได้แสดงผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงิน ที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งจะไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนว่ากิจการนั้น กำลังประสบปัญหาทางการเงิน อย่างไรก็ตามปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด จากการตกแต่งตัวเลขในงบการเงิน มีตัวแปรซึ่งเกิดจากหลาย ๆ ฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกัน การหาหนทางป้องกันปัญหาและลดผล กระทบจากการตกแต่งตัวเลขในงบการเงิน ยังคงเป็นประเด็นที่จะ ต้องมีการวิเคราะห์ถึงวิธีการ และแนวโน้มในการเพิ่มขึ้นของการ ตกแต่งตัวเลขในงบการเงินด้วยรูปแบบอื่น ๆ รวมไปถึงการหาหน ทางที่จะกำจัดช่องโหว่ทางการบัญชี เพื่อลดช่องทางของการตกแต่ง ตัวเลขในงบการเงินขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความร่วมมือจาก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ประเด็นที่ผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ฝ่ายควรตระหนักและให้ความ สำคัญเพื่อช่วยลดปัญหาและขจัดปัญหาของการทำทุจริตในงบ การเงิน ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าจะส่งผลต่อการเกิดภาพลักษณ์ที่ดีแก่ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี โดยผู้เขียนใคร่เสนอแนะดังนี้
การตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของข้อมูลสารสน เทศทางการเงินต่อการวิเคราะห์ของผู้ใช้งบการเงิน ภายนอก
การป้องกันกลลวงจากการตกแต่งตัวเลขในงบการเงิน เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสารสนเทศ ทางการเงินที่มีอยู่ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้วิเคราะห์เป็นไป อย่างรอบคอบ และ ไม่ผิดพลาด สำหรับผู้ใช้งบการเงินภายนอก เช่น นักวิเคราะห์ และ นักลงทุนนั้น การวิเคราะห์รายงานทางการเงิน ของกิจการใดก็ตาม จะต้องใช้ข้อมูลจากทุก ๆ ส่วนร่วมกัน และ ต้องทำความเข้าใจว่าแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แม้ว่าใน การวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มักจะใช้ดัชนี หรือ อัตราส่วนทางการเงิน ต่าง ๆ ที่คำนวณขึ้นจากตัวเลขในงบการเงิน เพื่อนำมาประเมิน เปรียบเทียบความสามารถระหว่างบริษัท แต่ผู้วิเคราะห์ก็ไม่ควรลืม ว่าถ้าหากตัวเลขเหล่านั้นได้มาจากงบการเงินที่มีการบิดเบือนข้อมูล จากฝ่ายบริหารแล้ว ย่อมไม่สามารถส่งผลให้เห็นภาพที่ถูกต้อง ของกิจการนั้น ๆ ได้ นอกจากนี้ อัตราส่วนทางการเงินช่วยในส่วน ของการประเมินข้อมูลที่เป็นตัวเลขในงบการเงินเท่านั้น ยังคงมี ข้อมูลส่วนอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในการประเมินทั้งที่เป็นข้อมูลเชิง ปริมาณ และ เชิงคุณภาพ ซึ่งไม่สามารถแสดงออกมาเป็นจำนวนเงิน ได้ ดังเช่น ภาระผูกพันของบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นจำนวนเงินไว้ ผู้ใช้งบการเงินสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากการอ่านในหมายเหตุ ประกอบงบการเงินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานทางการเงินที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่รู้ข้อมูลภายในของบริษัทนั้น ๆ การใช้งบการเงิน ควบคู่ไปกับหมายเหตุประกอบงบการเงินถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี แหล่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถรู้ความเป็นไปของ สถานภาพทางการเงิน และทิศทางการดำเนินงานของกิจการได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ผู้ใช้งบ การเงินจะรู้อย่างชัดแจ้งว่าบริษัทใด จงใจเปิดเผยข้อมูลให้การวิเคราะห์ แสดงผลที่ไม่ถูกต้องนั้นมีอยู่ไม่ มากนัก ดังนั้นการใช้ข้อมูลสารสนเทศทางการเงินที่มีอยู่ทุก ๆ ส่วนมาประกอบร่วมกันเพื่อการวิเคราะห์ ด้วยความรอบคอบ ช่างสังเกต และความมีสติ ของผู้ใช้งบการเงินจะช่วยให้สังเกต เห็นถึงสัญญาณเตือนภัยได้มากขึ้น
การมีจิตสำนึกต่อระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดีของฝ่าย บริหาร
ถึงแม้ว่าผู้สอบบัญชีได้ทดสอบความเพียงพอของระบบ การควบคุมภายในของกิจการต่าง ๆ แล้วก็ตาม ก็มิได้หมายความว่า ระบบควบคุมภายในที่ใช้นั้นจะไม่มีช่องโหว่เกิดขึ้นเลย เนื่องจาก แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นบวกกับสิ่งจูงใจต่าง ๆ เพื่อให้ฝ่ายบริหาร พยายามทำทุกวิถีทางให้กิจการมีผลประกอบการที่ดีอยู่เสมอ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งการงาน รวมไปถึงผลตอบแทน ที่ผันแปรไปตามผลประกอบการของกิจการ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เกิดการตกแต่งบัญชีขึ้นมา หากกิจการนั้น ๆ ไม่มีเครื่องมือในการ ตรวจสอบการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร ก็อาจส่งผลให้ฝ่ายบริหาร ตัดสินใจทำธุรกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของ กิจการ หรือ อาจส่งผลเสียต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ และ ผู้ถือหุ้นของกิจการได้ การมีเครื่องมือในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารจึงเป็น สิ่งที่จำเป็นซึ่งจะช่วยประกันให้เกิดความแน่ใจว่าสัญญาที่เกิดขึ้น ระหว่างฝ่ายบริหาร ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ของกิจการและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้มีการยึดถือปฏิบัติไปตามนั้นจริง นอกจากนี้ การทบทวนโครงสร้าง อัตราผลตอบแทนที่ให้กับฝ่ายบริหาร ควรยึดหลักบรรษัทภิบาล ในการให้ผลตอบแทนแก่ฝ่ายบริหารที่ให้ผลการรายงานที่เที่ยงตรง มากกว่าการให้ผลตอบแทนที่ผันแปรไปตามผลประกอบการของ กิจการ เพราะหากให้ผลตอบแทนโดยยึดจากผลประกอบการที่ดี เป็นหลัก ฝ่ายบริหารย่อมมีแนวโน้มที่จะเลือกนโยบายการบัญชีที่ ทำให้กิจการแสดงผลประกอบการที่ดี ทำการตกแต่งตัวเลขทางบัญชี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของงบการเงินให้ออกมาในรูปแบบที่จะส่งผล ดีต่อฝ่ายบริหาร ในแง่ของความสามารถในการบริหาร ตลอดจน แทรกแซงกระบวนการจัดทำรายงานการเงินที่จะเสนอต่อผู้ใช้งบ การเงินภายนอก ซึ่งจะส่งผลต่อค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายบริหาร ในที่สุด ดังนั้น กิจการจะต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนสร้างจิตสำนึกแก่ผู้บริหารให้ยึดถือความรับผิดชอบที่ตน พึงมีต่อกิจการ และผู้ที่มีส่วนได้เสีย รวมถึงการสร้างและรักษาไว้ ซึ่งความน่าเชื่อถือของรายงานทางการเงิน
ความยึดมั่นในจรรยาบรรณ รักษามรรยาทแห่งวิชาชีพ และเคร่งครัดต่อหลักการแนวคิดทางบัญชีของผู้ประกอบ วิชาชีพบัญชี
“ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี คือ หนึ่งในวิชาชีพอิสระที่ผู้ปฏิบัติ วิชาชีพจะต้องเคารพในจรรยาบรรณของตน” โดยผู้ประกอบวิชาชีพ บัญชีควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ มาตรฐานการบัญชี เพื่อการจัดทำและนำเสนอรายงานการเงินอย่าง ถูกต้องตามมาตรฐานรวมทั้งรักษามรรยาทแห่งวิชาชีพนักบัญชี ยึดมั่นในจรรยาบรรณของตนเป็นอย่างยิ่ง โดยมิได้มุ่งหวังแต่เพียง การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากจริยธรรม และความ รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมแล้ว วิจารณญาณของนักบัญชีแต่ละคน ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ทั้งนี้นักบัญชีบางคนยังมีความเข้าใจผิด และ/หรือ หลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามหลัก “เนื้อหาสาระทางเศรษฐ-กิจสำคัญกว่ารูปแบบตามกฎหมาย” และ หลัก “ความระมัดระวัง รอบคอบ” รวมไปถึงหลักการอื่น ๆ ในมุมมองของการบัญชีที่เกี่ยว ข้องกับรายการ นอกจากนี้ ความคลุมเครือ ยืดหยุ่น และไม่สอด คล้องกันระหว่างแนวทางปฏิบัติทางบัญชีที่กำหนดโดยหน่วยงาน ต่าง ๆ รวมทั้งข้อกำหนดต่าง ๆ ทางกฎหมายที่ทำให้เกิดความ หลากหลายในแนวทางปฏิบัติทางบัญชีที่เป็นทางเลือกต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดช่องโหว่ตามมา รวมไปถึงการที่มาตรฐานการบัญชี บางฉบับไม่ได้ระบุถึงวิธีปฏิบัติทางบัญชี และการเปิดเผยข้อมูลที่ เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับรายการบัญชีบางรายการ ส่งผลให้ในทาง ปฏิบัติเกิดปัญหาขึ้น เมื่อกิจการนำแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกันมา ประยุกต์ใช้กับรายการบัญชีของตน
การตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาไว้ซึ่งความเป็น อิสระของผู้สอบบัญชี
เนื่องจากผู้ใช้งบการเงินส่วนใหญ่เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ สามารถล่วงรู้ข้อมูลภายใน รวมทั้งสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐ-กิจของกิจการ ทำให้เกิดความลำบากในการตัดสินจากข้อมูลใน งบการเงินว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งในการให้มีตัวแทนที่จะทำหน้าที่กลั่นกรองข้อมูลสารสนเทศ ตรวจสอบจนทำให้เกิดความมั่นใจในรายงานการเงินที่ได้รับ ตัวแทน ดังกล่าวคือผู้สอบบัญชีนั่นเอง ความเห็นของผู้สอบบัญชีที่มีต่อ ความถูกต้องของรายงานการเงินมีความสำคัญมากต่อผู้ใช้เนื่องจาก ผู้สอบบัญชีรู้ข้อมูลมากกว่าบุคคลภายนอกจากการตรวจสอบการ รักษาความเป็นอิสระของผู้สอบบัญชีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด การที่สำนักงานสอบบัญชีให้บริการทั้งด้านสอบบัญชี และบริการให้ คำปรึกษาด้านการวางระบบบัญชี ภาษีอากร และระบบการควบคุม ภายในควบคู่กัน มักจะส่งผลเสียให้แก่ผู้ใช้งบการเงิน อันเป็นผลสืบ เนื่องมาจาก การมีส่วนได้เสียของผู้สอบบัญชี และการขาดความเป็น อิสระ ดังนั้นผู้สอบบัญชีหรือสำนักงานสอบบัญชีจะต้องรักษาไว้ซึ่ง มรรยาทแห่งวิชาชีพนักบัญชีอย่างเคร่งครัด อีกทั้งจะต้องยึดมั่นใน ความเป็นอิสระของผู้สอบบัญชี โดยไม่ร่วมเข้าไปมีส่วนได้เสียใน กิจการที่ทำการตรวจสอบใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ให้บริการด้านอื่นใน กิจการที่ตนเองเป็นผู้ตรวจสอบอยู่
บทสรุป
ธุรกรรมนอกงบดุล เป็นรายการที่ทำให้หนี้สินของกิจการ เพิ่มขึ้น โดยที่ผลจากการทำรายการนั้นจะไม่ปรากฏให้เห็นในงบดุลของ กิจการ การทำธุรกรรมนอกงบดุล มักถูกนำมาใช้โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะหลีกเลี่ยงการบันทึกหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และลบล้างหนี้สินที่มีอยู่ ออกจากบัญชีและงบการเงินของกิจการ อีกทั้งยังเป็นการ ตกแต่งตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้งบการเงินของกิจการออกมาดูดีใน สายตาของผู้ใช้งบการเงินภายนอก ผลสืบเนื่องจากความล้มเหลว ของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อคิด เตือนใจแก่ผู้ใช้งบการเงินทั้งหลายถึงความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล สารสนเทศทางการเงิน รวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสารสนเทศ ทางการเงินที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ ในการวิเคราะห์ตัดสินใจให้มากที่สุด นอกจากนี้ความครบถ้วนสมบูรณ์ของการนำเสนอตัวเลขและข้อมูลใน งบการเงิน รวมทั้งในหมายเหตุประกอบงบการเงินนั้น เป็นคุณ ลักษณะเชิงคุณภาพของข้อมูลสารสนเทศทางบัญชีที่สำคัญอย่าง ยิ่งยวด โดยเฉพาะรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ และการทำธุรกรรมนอกงบดุล เป็นสิ่งที่กิจการจะ ต้องมีการเปิดเผยไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ทั้งนี้การยึดมั่น ต่อหลักแนวคิดเรื่อง เนื้อหาสาระทางเศรษฐกิจสำคัญกว่ารูปแบบ ตามกฎหมาย และหลักความระมัดระวังรอบคอบของนักบัญชีอย่าง เคร่งครัดจะช่วยให้งบการเงินแสดงสถานภาพทางการเงินที่แท้จริง ของกิจการและช่วยให้งบการเงินของบริษัทต่าง ๆ สามารถเปรียบ เทียบกันได้ ดังนั้นการใช้ผลวิเคราะห์จากอัตราส่วนทางการเงิน ควบคู่ไปกับสารสนเทศ ในหมายเหตุประกอบงบการเงินซึ่งได้ยึดถือ และปฏิบัติตามหลักการแนวคิดดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัดแล้ว จะช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินได้วิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง สะท้อนความ จริงที่เกิดจากการดำเนินกิจการเนื่องจากได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพ ซึ่งมี ความถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้และเพื่อเสริมสร้าง สนับสนุน ให้เกิด ภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุก ๆ ฝ่ายต้องตระหนักถึงความสำคัญที่มีต่อ จิตสำนึกทางด้าน คุณธรรม จริยธรรม ความยึดมั่นในจรรยาบรรณและมรรยาทแห่ง วิชาชีพ และความรับผิดชอบต่อสังคมโดยส่วนรวม รวมไปถึงการ รักษาไว้ซึ่งความเป็นอิสระของผู้ที่มีส่วนได้เสีย
โดย กรณ์ ฉวีวานิชยกุลบัณฑิตสาขาวิชาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสสัมชัญ จากจุลสารมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ABAC Newsletter เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2546
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น