23 มิถุนายน 2544

นายกใหม่สั่งรื้อ'มาตรฐานบัญชี' วงในหวั่นเอื้อธุรกิจซุกความเสียหาย

นายกสมาคมนักบัญชีฯใหม่สั่งรื้อมาตร ฐานการบัญชีใหม่เพื่อผ่อนคลายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะฉบับ 34 เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ และฉบับ 36 เรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ เป็น การเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจซุกความเสียหายต่อและเอื้อประโยชน์ผู้ประ กอบการ ชี้เป็นการหลอกนักลงทุนเพราะงบการเงินบิดเบือนนางเกษรี ณรงค์เดช นายกสมาคมนักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยคนใหม่ เข้ารับตำแหน่งในเดือนกรกฎาคมนี้กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของสมาคมคือ การทบทวนมาตรฐานบัญชีทั้ง 50 ฉบับที่ออกมามากเกินไปและมีความซับซ้อนทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ นอกจากนี้จะดำเนินการขอให้กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศว่ามาตรฐานบัญชีไม่ได้มีผลบังคับเป็นกฎหมายเพราะเป็นการเรื่องของการใช้ดุลพินิจขณะเดียวกัน ดร.อังครัตน์ เพรียบจริยวัฒน์ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ประธานคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีคนใหม่ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นโยบายการทบทวนมาตรฐานบัญชีใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาการประกาศมาตรฐานการบัญชีมีบางฉบับที่ไม่สอดคล้อง และไม่เหมาะสมที่จะบังคับใช้กับประเทศไทยในขณะนี้ แต่ทั้งนี้ทางสมาคมไม่ได้คัดค้านการเดินตามมาตรฐานสากล แต่จะต้องเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 32 เรื่องที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ฉบับที่ 34 เรื่องการบัญชีสำหรับการปรับโครง สร้างหนี้ที่มีปัญหา และฉบับที่ 36 เรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างมาก เช่น มาตรฐานการบัญชีเรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ ได้ส่งผลกระทบทำให้บริษัทจดทะเบียนมีการตัดขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์กว่า 1 แสนล้านบาทดร.อังครัตน์กล่าวต่อว่า หรือมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 34 เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา ที่กำหนดให้ใช้วิธีการคิดอัตราลดกระแสเงินสดตามแผนการชำระหนี้ในอนาคตของลูกหนี้ หรือเป็น การคิดมูลค่าปัจจุบัน ส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้ และนี่อาจจะเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ใช้วิธีการปรับโครงสร้างหนี้แบบยืดระยะเวลาการชำระหนี้ โดยไม่ยอมให้มีการตัดลดหนี้ เพราะเมื่อมีการบันทึกบัญชีเป็นมูลค่าปัจจุบัน จะทำให้ธนาคารมีผลขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้และกระทบต่อเงินกองทุนของธนาคาร ซึ่งมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 34 คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี (ก.บช.) ยังไม่ได้ประกาศรับรอง เนื่องจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานะของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มากขึ้นจึงได้ให้มีการทบทวน ซึ่งทางสมาคมมีแนวคิดที่จะเสนอให้ใช้วิธีไม่คิดอัตราลดกระแสเงินสด โดยจะมีการหารือร่วมกับ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยอีกครั้งว่าจะเหมาะสมหรือไม่ และจะมีผลกระทบอะไรบ้างขณะที่แหล่งข่าวจากวงการนักบัญชีให้ความเห็นว่า ถ้าหากมาตรฐานบัญชีไม่ใช้วิธีมูลค่าปัจจุ บัน ก็จะทำให้งบการเงินของสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ทำให้นักลงทุนผู้ใช้งบการเงินมีความยากลำบากในการอ่านงบการเงินและไม่รู้สถานะที่แท้จริงของธนาคาร เหมือนเป็นการหมกเม็ดปัญหาแต่งตัวเลขให้สวยทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และเกรงว่านโยบายการรื้อมาตร ฐานบัญชีของคณะกรรมการสมาคมชุดใหม่จะเป็นการเอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการที่เป็นผู้จัดทำงบการเงิน แต่จะเป็นผลเสียกับนักลงทุนที่จะเป็นผู้ใช้งบการเงิน และจะทำให้เกิดภาพลวงตาในการสร้างฟองสบู่ให้ระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง เพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ"การที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีสินทรัพย์ลดลงกว่า 1 แสนล้านบาทนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงตามสภาพเศรษฐกิจ เพราะสินทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถที่จะนำมาทำประโยชน์สร้างรายได้ขึ้นมาได้ แต่ถ้ามาตรฐานการบัญชี จะไม่ให้มีการปรับลดการด้อยค่าของสินทรัพย์โดยจะให้ลงบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ไว้เช่นเดิมนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการลงบัญชีที่หลอกนักลงทุน" แหล่งข่าวให้ความเห็นดร.ภาพร เอกอรรถพร ที่ปรึกษาสำนักกำกับบัญชีตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และฐานะอดีตประธานคณะกรรมการมาตรฐานบัญชี ให้ความเห็นว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางที่จะผลักดันให้มาตรฐานบัญชีไม่มีผลบังคับเป็นกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีแห่งประเทศไทย ไม่ได้สนับสนุนหรือผลักดันให้มาตร ฐานการบัญชีมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายตามพระราชบัญญัติการบัญชี แต่ได้ผลักดันให้มีการแก้ไข ข้อกฎหมายดังกล่าวอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมาตรฐานบัญชีเป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นมาตรฐานเพื่อให้วิชาชีพนักบัญชีมีหลักปฏิบัติ และไม่มีประเทศไหนในโลกที่บังคับใช้เป็นกฎ หมายนอกจากนี้ประเด็นที่คิดว่าสมาคมน่าจะเร่งดำเนินการในขณะนี้ปัญหาคือการนำมาตรฐานบัญชีไปใช้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นสมาคมจึงควรที่จะเร่งออกประกาศชี้แจง พร้อมกับการจัดอบรมให้กับผู้ประกอบวิชาชีพเข้าใจและนำมาตรฐานบัญชีไปใช้อย?างถูกต้อง ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นข้อบกพร่องของคณะกรรมการสมาคมชุดที่ผ่านมาที่ไม่ได้ดำเนินการ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของการออกมาตร ฐานการบัญชีกับความรู้ของผู้นำไปใช้ เพราะปัญ หาหลายๆ อย่างนั้นเกิดจากผู้นำมาตรฐานบัญชีไปใช้ไม่มีความเข้าใจดร.ภาพรกล่าวต่อว่า ตามหลักวิชาการมาตร ฐานการบัญชี 1 ฉบับนั้นไม่สามารถบังคับใช้กับทุกบริษัท ซึ่งในความเห็นของตนนั้นควรที่จะมีการแยกมาตรฐานบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กับบริษัทที่อยู่นอกตลาด เพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นจะต้องมีการรับผิดชอบกับนักลงทุน เพราะบริษัทได้ใช้เงินของนักลงทุน ดังนั้นก็จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง งบการเงินจะต้องสะท้อนข้อเท็จจริง เพราะถ้าไม่สะท้อนข้อเท็จจริงก็จะทำให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนเข้าใจผิด ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งจะกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยที่เป็นคนไทย เพราะถ้ามองในแง่นักลงทุนต่างชาติก็จะมีความสามารถในการตรวจสอบงบการเงินของบริษัทต่างๆ ได้
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับที่ 3290 วันที่ 23 - 25 ก.ค. 2544

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก