อนึ่งก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับ 29 พฤษภาคม 2549 เคยนำเสนอข่าวถึงกลวิธีการนำเงินออกนอกประเทศของ "เศรษฐี-นักการเมือง" โดยไม่ต้องผ่านกฎกติกาการนำเงินเข้า-ออกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใช้ตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นตัวผ่านในการทำธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งวิธีการนั้นไม่ได้ซับซ้อน เริ่มต้นจากที่นักธุรกิจคนดังกล่าวเปิดบัญชีซื้อขาย หุ้นกับโบรกเกอร์ในประเทศไทย (สมมติชื่อโบรกเกอร์ ก.) และซื้อหุ้นเก็บเอาไว้โดยเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องเพื่อที่จะสะดวกในการสั่งขาย ต่อจากนั้นนักธุรกิจคนดังกล่าวเดินทางไปเปิดบัญชีการซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะนิยมไปเปิดบัญชีที่ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง เพราะ 2 ประเทศนี้จะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการนำเงินเข้า-ออก และเป็นศูนย์กลางทาง การเงินของเอเชีย (ไม่นับญี่ปุ่น) นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่ปกป้องเรื่องความลับของลูกค้าที่ดีที่สุด การเปิดบัญชีสามารถเปิดในนามกองทุนส่วนบุคคลซึ่งก็จะไม่เปิดเผยรายชื่อลูกค้าหรือสัญชาติของลูกค้าแต่อย่างใดกระบวนการสั่งขายกระทำผ่านบริษัทโบรก เกอร์ต่างชาติ สั่งออร์เดอร์ขายมายังบริษัทโบรก เกอร์ไทย (สมมติโบรกเกอร์ ข.) ซึ่งการสั่งออร์เดอร์ขายสั่งในนามของโบรกเกอร์ต่างชาติ ไม่ใช่นักธุรกิจรายดังกล่าว และเมื่อถึงกระบวน การเคลียริ่งและชำระราคา ทางโบรกเกอร์ต่างชาติจะแจ้งทางโบรกเกอร์ไทย (ข.) ไปรับใบหุ้นที่โบรกเกอร์ไทย (ก.) ที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นไว้ เมื่อเคลียริ่งหุ้นกันเรียบร้อย เงินก็จะโอนไปให้โบรก เกอร์ต่างชาติและโอนต่อให้นักธุรกิจรายดังกล่าว"ในทางกฎหมายเรียกว่าเป็นการขนเงินออกต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่น่าจะเรียกว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายที่เปิดให้ทำได้แต่ก็เป็นการรับรู้กันในวงจำกัด ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินก็จะรับรู้ถึงวิธีการดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เปิดเผย เพราะเป็นช่องทางที่ทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองระดับเศรษฐีทั้งหลายใช้เป็นช่องทางในการนำเงินเข้าออกประเทศ เพื่อความสะดวกในการจัดการหรือการเก็งกำไร" แหล่งข่าวกล่าวทั้งนี้ตามกฎหมายแล้ว โบรกเกอร์ ก.จะโอนหุ้นไปให้โบรกเกอร์ ข.เพื่อเคลียริ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ไม่สามารถทำได้ แต่ขบวนการที่ทำกันอยู่เนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ เป็นลูกค้าที่มีอิทธิพล มีอำนาจทางการเมือง จึงสามารถสั่งการให้โบรกเกอร์รายนั้นๆ โอนหุ้นได้ และเรื่องนี้เป็นการอาศัยช่องโหว่เนื่องจากการตรวจสอบที่หย่อนยาน และการที่จะทำเช่นนั้นได้จะต้องผ่านบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องมีการรับรู้ร่วมกัน แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ก็ทำกันอยู่
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับ 29 พฤษภาคม 2549
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น