บัญชี-การเงิน

25 กันยายน 2549

กลวิธีการนำเงินออกนอกประเทศ

อนึ่งก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับ 29 พฤษภาคม 2549 เคยนำเสนอข่าวถึงกลวิธีการนำเงินออกนอกประเทศของ "เศรษฐี-นักการเมือง" โดยไม่ต้องผ่านกฎกติกาการนำเงินเข้า-ออกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใช้ตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นตัวผ่านในการทำธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งวิธีการนั้นไม่ได้ซับซ้อน เริ่มต้นจากที่นักธุรกิจคนดังกล่าวเปิดบัญชีซื้อขาย หุ้นกับโบรกเกอร์ในประเทศไทย (สมมติชื่อโบรกเกอร์ ก.) และซื้อหุ้นเก็บเอาไว้โดยเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องเพื่อที่จะสะดวกในการสั่งขาย ต่อจากนั้นนักธุรกิจคนดังกล่าวเดินทางไปเปิดบัญชีการซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะนิยมไปเปิดบัญชีที่ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง เพราะ 2 ประเทศนี้จะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการนำเงินเข้า-ออก และเป็นศูนย์กลางทาง การเงินของเอเชีย (ไม่นับญี่ปุ่น) นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่ปกป้องเรื่องความลับของลูกค้าที่ดีที่สุด การเปิดบัญชีสามารถเปิดในนามกองทุนส่วนบุคคลซึ่งก็จะไม่เปิดเผยรายชื่อลูกค้าหรือสัญชาติของลูกค้าแต่อย่างใดกระบวนการสั่งขายกระทำผ่านบริษัทโบรก เกอร์ต่างชาติ สั่งออร์เดอร์ขายมายังบริษัทโบรก เกอร์ไทย (สมมติโบรกเกอร์ ข.) ซึ่งการสั่งออร์เดอร์ขายสั่งในนามของโบรกเกอร์ต่างชาติ ไม่ใช่นักธุรกิจรายดังกล่าว และเมื่อถึงกระบวน การเคลียริ่งและชำระราคา ทางโบรกเกอร์ต่างชาติจะแจ้งทางโบรกเกอร์ไทย (ข.) ไปรับใบหุ้นที่โบรกเกอร์ไทย (ก.) ที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นไว้ เมื่อเคลียริ่งหุ้นกันเรียบร้อย เงินก็จะโอนไปให้โบรก เกอร์ต่างชาติและโอนต่อให้นักธุรกิจรายดังกล่าว"ในทางกฎหมายเรียกว่าเป็นการขนเงินออกต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่น่าจะเรียกว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายที่เปิดให้ทำได้แต่ก็เป็นการรับรู้กันในวงจำกัด ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินก็จะรับรู้ถึงวิธีการดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เปิดเผย เพราะเป็นช่องทางที่ทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองระดับเศรษฐีทั้งหลายใช้เป็นช่องทางในการนำเงินเข้าออกประเทศ เพื่อความสะดวกในการจัดการหรือการเก็งกำไร" แหล่งข่าวกล่าวทั้งนี้ตามกฎหมายแล้ว โบรกเกอร์ ก.จะโอนหุ้นไปให้โบรกเกอร์ ข.เพื่อเคลียริ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ไม่สามารถทำได้ แต่ขบวนการที่ทำกันอยู่เนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ เป็นลูกค้าที่มีอิทธิพล มีอำนาจทางการเมือง จึงสามารถสั่งการให้โบรกเกอร์รายนั้นๆ โอนหุ้นได้ และเรื่องนี้เป็นการอาศัยช่องโหว่เนื่องจากการตรวจสอบที่หย่อนยาน และการที่จะทำเช่นนั้นได้จะต้องผ่านบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องมีการรับรู้ร่วมกัน แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ก็ทำกันอยู่
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับ 29 พฤษภาคม 2549

23 กันยายน 2549

กำหนดรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน

ประกาศกรมทะเบียนการค้าเรื่อง กำหนดรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน พ.ศ. 2544
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีดังต่อไปนี้ ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดไว้ ในแบบที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้ คือ
1. ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 1
2. บริษัทจำกัด ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 2
3. บริษัทมหาชนจำกัด ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 3
4. นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 4
5. กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 5
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฏหมายต่างประเทศที่ ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์นอกจากต้องจัดทำงบการเงินโดยมีรายการย่อดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต้องมี รายการย่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดสำหรับธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมนอกเหนือจากรายการ ดังกล่าวและในกรณีที่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหาร สินทรัพย์นอกจากต้องจัดทำงบการเงินโดยมีรายการย่อดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต้องมีรายการย่อตามที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนดสำหรับบริษัทเงินทุนเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายการดังกล่าวด้วย
ข้อ 2 ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของธุรกิจไม่มีรายการที่ต้องแสดงรายการย่อครบตามแบบที่ กำหนดไว้ ก็ให้งดเว้นไม่ต้องแสดงรายการย่อที่ไม่มีดังกล่าว
ข้อ 3 งบกำไรขาดทุนอาจเลือกแสดงแบบขั้นเดียวหรือแสดงแบบหลายขั้นก็ได้ สำหรับ งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของสำนักงานใหญ่ หรืองบ แสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ร่วมค้า อาจเลือกแสดงแบบงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จแทนก็ได้
ข้อ 4 ในกรณีที่มาตรฐานการบัญชีกำหนดให้มีการแสดงรายการย่อนอกเหนือจาก รายการที่กำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้น ต้องแสดงรายการนั้นเพิ่มเติมด้วย
ข้อ 5 ในระยะเริ่มแรกที่ประกาศฉบับนี้มีผลให้บังคับให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีซึ่งเป็น บริษัทจำกัดที่มิได้มีหน้าที่จัดทำและนำส่งงบการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ต่างประเทศ และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากรได้รับยกเว้นไม่ต้องแสดงรายการในงบการเงิน เปรียบเทียบกับปีก่อน และให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่มิได้มีหน้าที่จัดทำและ นำส่งงบการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วย หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือมิได้เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นไม่ต้องแสดงรายการงบการเงินรวมเปรียบเทียบกับปีก่อน แต่ต้องเริ่ม แสดงรายการในงบการเงินหรืองบการเงินรวมแล้วแต่กรณี เปรียบเทียบกับปีก่อน สำหรับการจัดทำ งบการเงินซึ่งมีรอบปีบัญชีเริ่มต้นในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2546 เป็นต้นไป
ข้อ 6 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสำหรับการจัดทำงบการเงินซึ่งมีรอบปีบัญชีเริ่มต้น ในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ หากผู้ใดสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในประกาศฉบับนี้ ได้ก่อนถึงกำหนดเวลาใช้บังคับ ก็สมควรกระทำและให้ถือว่าผู้นั้นได้จัดทำงบ การเงินโดยถูกต้องตามข้อกำหนดในเรื่องนี้แล้ว

ประกาศ ณ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2544
(ลงชื่อ) อดุลย์ วินัยแพทย์ (นาย อดุลย์ วินัยแพทย์ )อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

14 กันยายน 2549

มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศจะมีผลกระทบต่อ ธ.พาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลจำนวนมาก

นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) ที่จะนำมาใช้ในปี 51 แต่จะเริ่มทดลองใช้ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้านี้ จะมีผลกระทบต่อ ธ.พาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลอยู่จำนวนมาก เพราะมีภาระการตั้งสำรองมากขึ้น เนื่องจากหลักการของ IAS39 จะไม่ได้คิดอัตราการตั้งสำรองเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อประเภทหนี้ที่ตายตัว แต่จะดูในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ การประมาณการเงินสดหมุนเวียนเพื่อคำนวณสัดส่วนการตั้งสำรองและวิธีปฏิบัติในการคำนวณการตั้งสำรองละเอียดขึ้น ปัจจุบัน ธปท. กำหนดให้ ธ.พาณิชย์ต้องตั้งสำรองตามหนี้จัดชั้น ดังนี้ หนี้ปกติต้องตั้งสำรองร้อยละ 1 ของวงเงินที่ปล่อยกู้ ต่ำกว่ามาตรฐานหรือค้างชำระเกิน 3 เดือน ต้องตั้งสำรองร้อยละ 20 หนี้สงสัยหรือค้างชำระเกิน 6 เดือน ต้องตั้งสำรองร้อยละ 50 และหนี้สงสัยจะสูญหรือค้างชำระเกิน 1 ปี ต้องตั้งสำรอง 100% (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)

มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศจะมีผลกระทบต่อ ธ.พาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลจำนวนมาก

นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) ที่จะนำมาใช้ในปี 51 แต่จะเริ่มทดลองใช้ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้านี้ จะมีผลกระทบต่อ ธ.พาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลอยู่จำนวนมาก เพราะมีภาระการตั้งสำรองมากขึ้น เนื่องจากหลักการของ IAS39 จะไม่ได้คิดอัตราการตั้งสำรองเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อประเภทหนี้ที่ตายตัว แต่จะดูในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ การประมาณการเงินสดหมุนเวียนเพื่อคำนวณสัดส่วนการตั้งสำรองและวิธีปฏิบัติในการคำนวณการตั้งสำรองละเอียดขึ้น ปัจจุบัน ธปท. กำหนดให้ ธ.พาณิชย์ต้องตั้งสำรองตามหนี้จัดชั้น ดังนี้ หนี้ปกติต้องตั้งสำรองร้อยละ 1 ของวงเงินที่ปล่อยกู้ ต่ำกว่ามาตรฐานหรือค้างชำระเกิน 3 เดือน ต้องตั้งสำรองร้อยละ 20 หนี้สงสัยหรือค้างชำระเกิน 6 เดือน ต้องตั้งสำรองร้อยละ 50 และหนี้สงสัยจะสูญหรือค้างชำระเกิน 1 ปี ต้องตั้งสำรอง 100% (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)

27 กรกฎาคม 2549

ร้อยแปดพันเก้า กับ backdating options

แวดวงทุนนิยมของสหรัฐกำลังกลับมาฉาวโฉ่อีกครั้ง หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (Securites and Exchange Commission : SEC) ของสหรัฐ ได้ตั้งข้อหาทั้งในทางแพ่งและคดีอาญา เพื่อเอาผิดกับอดีตผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทโบรเคด คอมมิวนิเคชันส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและเราเตอร์ และมีข้อมูลแพร่สะพัดว่า โบรเคดฯ อาจไม่ใช่บริษัทรายสุดท้าย ของพฤติกรรมฉ้อโกง ที่เรียกว่า options backdating เพราะมีรายงานว่า มีมากกว่า 80 บริษัท ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการ และที่น่าสนใจกว่านั้น คือ โฟกัสหลักของการสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการในคดีตกแต่งบัญชีด้วย options backdating คือ บริษัทเทคโนโลยีจำนวนหนึ่งในย่านซิลิคอน วัลเลย์ และในจำนวนนั้นก็ถือเป็นบิ๊กเนมในวงการ ซึ่งเป็นที่รับทราบกันว่า บางรายอยู่ระหว่างการสอบสวนและให้ปากคำอย่างไม่เป็นทางการของหน่วยงานของรัฐ ขณะที่บางรายอยู่ในกลุ่ม เพราะดำเนินการตรวจสอบภายในองค์กร แล้วพบความไม่ปกติของการใช้ options backdating ด้วยตัวเองอาทิ ยูไนเต็ดเฮลธ์ โฮม ดีโป แอปเปิล คอมพิวเตอร์ อินทุยต์ และบาร์นส์ แอนด์โนเบิลเมื่อชนวนเหตุคือ options backdating คำคำนี้มีความหมายอย่างไร และผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นช่องทางทางบัญชีที่บริษัทจะให้สิทธิพนักงานที่ได้รับสต๊อกออปชั่น (stock option) หรือหุ้นโบนัส กำหนดวันที่ใช้สิทธิในการซื้อหุ้นที่ระบุราคาซื้อไว้ล่วงหน้า หลายบริษัทมักจะให้ออปชั่นที่ระบุวันใช้สิทธิไว้ล่วงหน้าหลายปี ให้แก่ ผู้บริหาร และพนักงาน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะถือว่า เป็นส่วนของแพ็กเกจผลตอบแทนการจ้างงาน ในขณะที่นักลงทุนต้องจ่าย หากมีการใช้สิทธิ์ใน ออปชั่นนอกจากนี้ ผลกระทบที่นักลงทุนอาจจะได้รับจากการ options backdating คือ นักลงทุนจะไม่ได้รับโอกาสให้กำหนดวันย้อนหลังในการจองซื้อหุ้น และซื้อคืนหุ้นได้ในราคาเดิม ขณะที่บริษัทเจ้าของหุ้นจะเปิดช่องให้ผู้บริหารระดับสูง กรรมการบริหาร และลูกจ้าง สามารถเลือกวันในอดีตได้ตามอำเภอใจ โดยส่วนใหญ่จะเลือกวันที่ราคาหุ้นต่ำมาก เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่า หากมีการใช้สิทธิ พวกเขาจะมีกำไร อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการทำบัญชีรูปแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย เสมอไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ เช่น หากเป็น ข้อตกลงระหว่างบริษัท และพนักงาน โดยทั่วไป บริษัทมักจะให้เหตุผลในการให้สิทธิลูกจ้างซื้อหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ 3 ปีล่วงหน้านั้น ก็เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่า ระดับราคาของหุ้นจะเคลื่อนไหวที่ระดับดังกล่าว เมื่อถึงเวลาใช้สิทธิช่องโหว่ของ options backdating จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในปัจจุบัน เป็นเพราะ หลายบริษัทจะปกปิดวันที่ "คนใน" เลือกใช้สิทธิ และทำให้นักลงทุนไม่สามารถคิดหากำไรต้นทุนที่แท้จริงของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง การปกปิดข้อเท็จจริงต่อนักลงทุนนั้น กระทรวงยุติธรรมสามารถใช้เป็นมูลฟ้อง ในคดีอาญาได้ขณะที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สามารถใช้ฟ้อง ในคดีแพ่งได้เช่นกัน หากบริษัทเผชิญ ข้อกล่าวหานี้ หมายความว่า บริษัทเหล่านั้นได้กระทำการที่เป็นการละเมิดกฎหมายภาษีด้วย เพราะเท่ากับได้ยื่นเสียภาษีอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งสำนักงานสรรพากรกลางของสหรัฐ สามารถเรียกค่าปรับ หรือลงโทษในรูปแบบอื่นๆ
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3813 (3013)

คลังบทความของบล็อก